มาทำความรู้จัก“ชาเขียว” ทั้ง 4 ประเภทกันเถอะ !!! 🥤🍃


มาทำความรู้จัก“ชาเขียว” ทั้ง 4 ประเภทกันเถอะ !!! 🥤🍃
หนึ่งในเมนูเครื่องดื่มสารพัดประโยชน์ของชาวญี่ปุ่น แถมยังได้รับความนิยมจากคนไทยอย่าง “ชาเขียว” นั้น ที่จริงแล้วมี หลากรสชาติหลายระดับ 🍀 สิ่งที่ทำให้ชาเขียวแตกต่างจากชาประเภทอื่นๆ อย่างชาแดง และชาอู่หลง คือการนึ่งใบชาที่จะช่วยไล่กลิ่นเหม็นเขียวไปพร้อมๆ กับหยุดกระบวนการออกซิเดชัน ทำให้รักษาสีเขียวของใบชาเอาไว้ได้ นอกจากนี้ชาเขียวที่เราดื่มกันนั้น ยังแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ เลยทีเดียว จะมีอะไรบ้างนั้น AINU นำมาให้อ่านกันแล้วค่ะ 💋💕


1.เกียวคุโระ (Gyokuro) 💘

เกียวคุโระ คือ ยอดใบชาเขียวชั้นดี ปลูกโดยคลุมผ้ากันแสงให้อยู่ในสภาวะเหมาะสมจนเกิดเป็นสีเขียวสวยงาม นำมานึ่ง นวด และทำให้แห้ง ได้ออกมาเป็นชารสไม่ฝาด กลิ่นหอม มีสารอาหารสูง สีเขียวสด จัดเป็นชาเขียวชั้นสูง ผลิตได้ไม่มาก จึงมีราคาแพงค่ะ 💦


2.มัทฉะ (Matcha) 💖

มัทฉะ ผลิตจากมาจาก เท็นฉะ (Tencha) ซึ่งได้มาจากใบชาที่ปลูกและเก็บเกี่ยวลักษณะเดียวกับเกียวคุโระ แต่แตกต่างกันที่กระบวนการผลิต เท็นฉะเมื่อนึ่งเสร็จและนำมาทำให้แห้งโดยไม่ผ่านการนวด 🏵🌹 เมื่อแห้งแล้วค่อยนำมาดึงก้านและเส้นกลางใบออก เหลือแต่ใบสีเขียว มองเผินๆ คล้ายสาหร่าย พอนำใบดังกล่าวไปบดเป็นผงจึงจะได้ออกมาเป็นมัทฉะ


3.เซ็นฉะ (Sencha) 🌿

เซ็นฉะ คือชาเขียวส่วนใหญ่ หรือคิดเป็นกว่า 60% ของชาเขียวในประเทศญี่ปุ่น ปลูกโดยให้โดนแสงอาทิตย์ตามปกติ เมื่อเก็บใบมาแล้วต้องผ่านกระบวนการนึ่ง นวด และอบแห้งเหมือนกับเกียวคุโระ คำว่า “ชาเขียว” โดยทั่วไป หากไม่ระบุจำเพาะเจาะจงมักหมายถึงเซ็นฉะนั่นเองค่ะ 🍶


4.บันฉะ (Bancha) 💗

บันฉะผลิตจากใบชาประเภทอื่นๆ (นอกเหนือจาก 3 ข้อด้านบน) ได้มาจากใบชาที่เก็บนอกฤดูกาล เช่น ก่อนต้นชาแตกยอดใหม่ หรือมีขนาดไม่ได้ตามมาตรฐาน  รวบรวมมาผ่านกระบวนการต่างๆ จนได้เป็นชาราคาย่อมเยา หากชงเป็นชาเขียวธรรมดา บางครั้งอาจมีสีออกไปทางเหลืองอมเขียวแทนที่จะเป็นสีเขียวสด รสฝาดกว่าชาชนิดอื่น อีกทั้งกลิ่นเฉพาะตัวของชาไม่หอมเท่าประเภทอื่น จึงมีการดัดแปลงเป็นเมนูชาอีกหลากหลายประเภทเพื่อเพิ่มรสหรือกลิ่น เช่น โฮจิฉะ (Hojicha) หรือเก็มไมฉะ (Gemmaicha) 💫


ความคิดเห็น